E-Commerce คืออะไร ? กลยุทธ์การตลาดสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์

ปก E-Commerce คืออะไร ?

การทำธุรกิจในปัจจุบันนี้ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ซื้อเพื่อเพิ่มยอดขาย และกำไรให้มากขึ้น และสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ เนื่องจากหลาย ๆ คนเริ่มหันมาสนใจการทำธุรกิจออนไลน์ ทั้งทำเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริม เพราะฉะนั้นการมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกลยุทธ์ด้านการทำการตลาด เช่น การใช้งานระบบ E-Commerce คือสิ่งสำคัญที่คนทำธุรกิจออนไลน์ควรรู้ไว้ และการทำเว็บไซต์ WordPress ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว

สารบัญ

E-Commerce คืออะไร ?

Electronic Commerce หรือเรียกย่อ ๆ ว่า E-Commerce คือ การทำธุรกิจขายสินค้า หรือบริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยสื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ “อินเตอร์เน็ต” โดยจะสามารถช่วยลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ ช่วยให้ร้านค้าของคุณเปิดขายสินค้า หรือบริการจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเตอร์เน็ต ตลอด 24 ชั่วโมง และแน่นอนว่าสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้อย่างแน่นอน โดย Plugin ที่นิยมนำมาใช้กับ Tempplate ของ WordPress ก็คือ WooCommerce เพราะให้ใช้งานฟรี และสามารถติดตั้งไม่ยาก 

WooCommerce.com

ทำไมถึงควรทำ E-Commerce ?

เนื่องจากการซื้อขายผ่าน E-Commerce สามารถทำได้ผ่านเว็บไซต์หรือบนแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำการซื้อ-ขายกันได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง และยังสามารถชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ได้อีกด้วย จึงไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องใช้พนักงาน ช่วยลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยธุรกิจ E-Commerce คือธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วใน และมีความสำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของโลก 

ประเภทของ E-Commerce มีอะไรบ้าง ?

E-Commerce มีรูปแบบการซื้อ-ขายที่หลากหลาย โดยแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้
  1. B2B – Business to Business คือ การซื้อ-ขายระหว่างผู้ประกอบการ อาจเป็นการขายส่งสินค้าบนเว็บไซต์ผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อนำไปขายผู้บริโภค
  2. C2C – Consumer to Consumer คือ การซื้อ-ขายระหว่างผู้บริโภค อาจเป็นการขายสินค้าหรือบริการ จากการประกาศบนอินเตอร์เน็ต เช่น การซื้อ-ขายสินค้ามือสอง
  3. B2C – Business to Consumer คือ การซื้อ-ขายระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค อาจเป็นการขายสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์ผ่านอินเตอร์เน็ต
  4. B2G – Business to Government คือ การซื้อ-ขายระหว่างระหว่างผู้ประกอบการกับภาครัฐ อาจเป็นการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานผ่านทางอินเทอร์เน็ต
  5. G2G – Government to Government คือ การซื้อ-ขายระหว่างภาครัฐ อาจเป็นการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกระทรวงผ่านทางอินเทอร์เน็ต
  6. G2C – Government to Consumer คือ การซื้อ-ขายระหว่างภาครัฐกับประชาชน อาจเป็นการการคำนวณและเสียภาษี หรือการดาวน์โหลดฟอร์ม การจดทะเบียนผ่านอินเทอร์เน็ต

เว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีควรเป็นอย่างไร ?

การที่จะเป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีได้นั้นนอกจากความสวยงามแล้ว จะต้องเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานด้วย ผู้ใช้งานต้องเข้าใจ และสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ทันที มีการแสดงรายละเอียดที่ชัดเจนครบถ้วน มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย และสุดท้ายคือความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า หากเกิดการการละเมิดความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า อาจเป็นสิ่งที่สามารถทำลายภาพลักษณ์และธุรกิจของคุณได้
รูปบทความ Commerce คืออะไร

ประโยชน์ของ E-Commerce มีอะไรบ้าง ?

  1. ระบบ E-Commerce ช่วยให้การซื้อ-ขายสินค้าและบริการเป็นไปได้อย่างสะดวกสบาย เพราะสามารถซื้อ-ขายได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหน้าร้าน
  2. ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจ ช่วยให้สามารถเลือกซื้อสินค้าในราคาที่ถูกมากขึ้น
  3. ลดการผูกขาด เพราะเกิดการแข่งขันกันภายในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน โดยจะทำให้มีการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดีและมีราคาที่เหมาะสมสู่ท้องตลาดมากขึ้น
  4. สินค้าราคาถูกลง เพราะมีต้นทุนการขายไม่สูงมาก เพราะไม่ต้องมีค่าเช่าร้าน ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ เนื่องจากระบบสามารถทำการซื้อ-ขายและชำระเงินได้อัตโนมัติ
  5. ผู้ขายสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มช่องทางการขาย เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จากทั่วโลก และสามารถเพิ่มการเข้าถึงจากผู้ใช้งานที่มีอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง
  6. มีระบบติดตามและวิเคราะห์ผู้ใช้งาน ช่วยให้เข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน และสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น
  7. ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า

ข้อจำกัดของ E-Commerce มีอะไรบ้าง ?

  1. ผู้ซื้ออาจไม่ได้เห็นสินค้าจริง หรือไม่ได้มีการทดลองใช้งานมาก่อน อาจทำให้ผู้ซื้อเกิดความไม่มั่นใจในการเลือกซื้อสินค้า
  2. มักมีการแฝงโฆษณาภายในเว็บไซต์ อาจทำให้ลูกค้าเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับรายละเอียดของสินค้า จึงอาจสร้างความไม่พึงพอใจให้ลูกค้าได้
  3. อาจสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า เนื่องจากไม่มีการพบปะกัน ทำให้ธุรกิจไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้เหมือนการขายในรูปแบบดั้งเดิม
  4. ผู้ซื้ออาจไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบุคคล เช่น ไม่มีความมั่นใจในการเก็บรักษาหมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนบุคคลว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่มิชอบได้
  5. เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดี เช่น การโจมตีระบบการชำระเงิน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจหรือลูกค้าเสียความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์
  6. อาจส่งผลต่อการจ้างงานและการเลื่อนขั้นตำแหน่งของพนักงานได้ โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการขายในรูปแบบดั้งเดิมของร้านค้าทั่วไปที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ E-Commerce

บทสรุป

E-commerce คือการซื้อ-ขายสินค้าและบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต ตลอด 24 ชั่วโมงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และยังมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความสะดวกสบาย การลดต้นทุน การเพิ่มภาพลักษณ์ของธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัด เช่น ปัญหาด้านการจัดส่งสินค้า ความเสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือการถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดี เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสีย และควรมีบริการคอยดูแลลูกค้าและการป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จในการใช้งานระบบ E-Commerce อย่างเหมาะสม